Home » How to » 3 วิธีซัก-ดูแลเสื้อผ้าให้ขาว สะอาด น่าสวมใส่ เหมือนใหม่ตลอดเวลา
3 วิธีซัก-ดูแลเสื้อผ้าให้ขาว สะอาด น่าสวมใส่ เหมือนใหม่ตลอดเวลา
เสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องนุ่งห่ม ถือเป็นสิ่งสำคัญ เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะกับเหล่ามนุษย์ในไทยแลนด์แดนพระอาทิตย์ตั้งฉาก ที่จะต้องอาบน้ำกันอย่างน้อยวันละสองรอบ ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอย่างน้อยสองสามชุดต่อวัน การดูแลรักษาเสื้อผ้าให้สะอาด น่าสวมใส่ ลดคราบไคล สิ่งสกปรก ทำให้ไม่น่าสวมใส่ ตลอดจนวิธีซักผ้า ที่ลดการสูญเสียเส้นใยผ้าในการซักแต่ละครั้ง อันนำไปสู่ปัญหาเสื้อผ้าขาด เปื่อยก่อนเวลาอันควรอีกด้วย
1.เลือกซื้อ เลือกใส่เสื้อผ้าที่ผลิตด้วยวัสดุจากธรรมชาติ
แม้จะมีราคาที่แพงกว่า แต่เสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ (Natural Fibers) ทั้งหลายจะมีความระคายเคืองน้อย ใส่ง่ายรู้สึกสบาย เช่น ผ้าฝ้าย (Cotton), ผ้าลินิน (Linen), ผ้าไหม (Silk) และผ้าขนสัตว์(Wool) ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน อย่างผ้าฝ้ายที่ดูดซับความชื้นได้ดีก็นิยมมาทำเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย ผ้าลินินที่โปร่ง ระบายอากาสได้ดี แห้งเร็ว ก็เหมาะกับหน้าร้อนบ้านเรา
สิ่งสำคัญของข้อนี้การเลือกใช้เสื้อผ้าประเภทนี้ จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะลดของเสียจากเสื้อผ้าอย่าง Micro-Plastic ที่ปนเปื้อนในขั้นตอนการผลิต และในบริเวณบ้านเรือนทั่วไปจากการซักผ้าแล้วใยผ้าเปื่อยผสมลงในแหล่งน้ำ
2.สารพัดเคล็ดลับซักผ้าขาว
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยอับอาย หรือกลุ้มใจเวลามีใครสังเกตคราบต่าง ๆ บนเสื้อผ้าสีขาวของคุณ หรือต้องทนใส่เสื้อขาวเหลืองอ๋อย เสื้อขาวย้อมครามไก่ฟ้า จนหมดความมั่นใจ ไม่อยากไปเรียน ไปทำงาน ลองมาใช้การดูแลเสื้อผ้าด้วยส่วนผสมที่หาได้ง่ายในครัวเรือนเหล่านี้ดู อาจจะเหมือนได้เสื้อตัวใหม่มาใส่ก็เป็นได้
ต้มเสื้อขาว ๆ ของคุณด้วยน้ำเปล่ากับน้ำมะนาวให้เดือด ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงจึงลงมือซัก อีกสูตรจะเป็นการนำน้ำมะนาวครึ่งถ้วยตวงผสมกับน้ำผงซักฟอก แข่เสื้อผ้าทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงเช่นกันค่อยเข้าสู่ขั้นตอนการซักผ้า
วิธีซักผ้าขาวแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ผสมน้ำซาวข้าวในน้ำเปล่า แช่ผ้าไว้ประมาณไม่เกิน 5 นาที แล้วค่อยซัก
มีสองวิธี อย่างแรกคือใช้น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวงผสมลงไปซักกับผงซักฟอกโดยตรง กับวิธีที่สองใช้ผสมน้ำเปล่าซักหลังจากซักผ้าปกติเสร็จแล้วอีกครั้ง น้ำส้มสายชูจะช่วยให้ผ้าทั้งขาวและนิ่มลง
- เบกกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate)
ใช้เบกกิ้งโซดาครึ่งถ้วยตวงผสมกับผงซักฟอกแล้วซักตามปกติ หรือใช้ในอัตราส่วนน้ำ 4 ลิตร กับเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยก็ได้
- ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ผสมน้ำยาล้างจาน
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือน้ำยาล้างแผลผสมกับน้ำยาล้างจานในอัตราส่วน 2 : 1 เทลงบนคราบที่ต้องการขจัด ขยี้ให้หายก่อนนำไปซักปกติ
- สารฟอกขาว (Chlorine bleach)
สารฟอกขาวชนิดคลอรีน บลีช ใช้ผสมในอัตราส่วนน้ำ 1 แกลลอน กับสารฟอกขาว 1 ถ้วยครึ่ง ให้ใช้อย่างระวังเพราะเป็นสารเคมี และห้ามใช้ในการซักผ้าสีอย่างเด็ดขาด สีตกนะครัชชชช
ใช้ยาแอสไพริน 5 เม็ด ผสมน้ำเปล่าแช่ทิ้งไว้ก่อนซักประมาณ 15-20 นาที
ผสมแอมโมเนียปริมาณเล็กน้อยกับน้ำเปล่าให้เจือจางพอประมาณแล้วค่อยซักพร้อมผงซักฟอก ห้ามใช้แอมโมเนียผสมผงซักฟอกแล้วซักอย่างเด็ดขาด ป้องกันเนื้อผ้าถูกกัดกร่อนทำลาย
- กรดออกซาลิก (Oxalic acid)
ใช้สำหรับขจัดคราบเลือด สนิมเหล็ก โดยผสมกรดออกซาลิก 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย แล้วขยื้ให้คราบเจือจางก่อนซัก ให้ระวังอาการระคายเคืองจากการใช้ด้วย
- บอแรกซ์ (Borax) ผสมน้ำส้มสายชู
ใช้ส่วนผสมทั้งสองอย่างละครึ่งถ้วยตวง ผสมกับผงซักฟอกซักตามปกติ
3.ซักผ้า ดูแลเสื้อผ้าให้ถูกวิธี
- ผ้าแต่ละชนิดมีวิธีการซักที่ดีที่สุดไม่เหมือนกัน เสื้อผ้าบางอย่างมีบอกในป้ายตรงคอเสื้ออย่างชัดเจนว่าไม่ควรซักด้วยเครื่องซักผ้า เพราะอาจทำให้ผ้ายืดย้วย เปื่อยเร็ว ก่อนซักต้องลองศึกษาวิธีซักที่เหมาะสม
- ผงซักฟอก กับสารเคมี ควรใช้ในสัดส่วนที่เหมาะสม มิเช่นนั้นจะเป็นการทำลายเนื้อผ้า และก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ติดเสื้อผ้า
- อย่าขยี้ผ้าที่เปื้อนคราบด้วยความรุนแรง เพราะอาจจะหายทั้งคราบทั้งเสื้อผ้า ควรใช้วิธีแช่ และขจัดคราบด้วยน้ำยาต่าง ๆ ตามข้อ 2 ก่อนจะซัก
- วิธีซักผ้าให้หอม ไม่ควรใช้ผงซักฟอกเยอะเกินไป และให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณพอเหมาะกับเสื้อผ้าแช่ทิ้งไว้ 20-30 นาทีหลังการซัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
- แยกผ้าสี ผ้าขาว ออกจากกันตอนซักผ้าทุกครั้ง ป้องกันสีตกใส่ผ้าที่สีอ่อนกว่า และแยกประเภทการซักตามเนื้อของเสื้อผ้าอีกต่อนึงด้วย เพื่อยืดอายุการใช้งานเสื้อผ้าไปอีกนาน